ช็อกโกแลตซีสต์ คือ คำเรียกชื่อโรคที่สูตินรีแพทย์ มักใช้พูดกับคนไข้ ซึ่งชื่อจริงทางการแพทย์คือ โรคเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ หรือเอ็นโดเมทไทโอซิส (Endometriosis) ในคำอธิบายเกี่ยวกับโรคนี้ก็คือ โรคที่เยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งปกติควรอยู่ภายในโพรงมดลูก แต่กลับไปเจริญอยู่ในส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น รังไข่ เอ็นยึดมดลูก ผนังช่องท้อง หรือลำไส้ เนื่องจากเซลล์เหล่านี้เป็นเซลล์ที่มีชีวิต สามารถมีการเจริญเติบโตได้จากการที่ได้รับฮอร์โมนในร่างกายมากระตุ้น โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศหญิง หรือที่เรารู้จักในชื่อของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) โดยเมื่อเริ่มแรกที่มีการเกาะหรือฝังตัวของเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกตามที่ต่าง ๆ เซลล์เหล่านี้จะมีขนาดเป็นจุดเล็ก ๆ สีน้ำตาลคล้ายจุดห้อเลือด ในแต่ละเดือนก็จะโตขึ้นและกลายเป็นถุงน้ำ ซึ่งภายในบรรจุด้วยของเหลวซึ่งก็คือเลือดนั่นเอง เมื่อมีการสะสมของเลือดนาน ๆ สีเลือดจึงเปลี่ยนเป็นสีเข้ม และน้ำบางส่วนในก้อนถูกดูดกลับ จึงทำให้เกิดลักษณะของเหลวสีน้ำตาลเข้ม และข้น คล้ายสีและลักษณะของช็อกโกแลต จึงเป็นที่มาของชื่อ ช็อกโกแลตซีสต์ ซึ่งเชื่อว่าหลาย ๆ ท่านคงคุ้นเคย หรือได้ยินผ่านหูเกี่ยวกับโรคนี้มาบ้างไม่มากก็น้อย นับว่าเป็นโรคยอดฮิตของผู้หญิงในยุคนี้เลยก็ว่าได้ โดยพบว่าร้อยละ 10-20 ในกลุ่มหญิงวัยเจริญพันธุ์ที่มีประจำเดือน และพบบ่อยขึ้นร้อยละ 30-40 ในกลุ่มที่มีภาวะมีบุตรยาก ซึ่งหมายถึงกลุ่มที่แต่งงานและมีเพศสัมพันธุ์อย่างสม่ำเสมอ ในระยะ 1 ปี ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ โรคนี้ที่พบได้บ่อยขึ้นในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการวินิจฉัยที่เร็วและแม่นยำขึ้น เช่น การตรวจอัลตร้าซาวด์ และคนไข้ส่วนที่เคยคิดว่าการปวดท้องประจำเดือนเป็นเรื่องปกติ ตื่นตัวมารับการตรวจมากขึ้น โรคนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ? ปัจจุบับยังไม่ทราบกลไกแท้จริงของการเกิดโรค แต่มีหลายทฤษฎีที่พยายามอธิบายการเกิดโรค ที่นิยมและยอมรับมากที่สุดในปัจจุบัน คือทฤษฎีของแซมซัน (Sampson’s Theory) ในปี ค.ศ. 1920 ซึ่งอธิบายไว้ว่า ในขณะที่ผู้หญิงมีประจำเดือน เลือดประจำเดือนส่วนใหญ่จะไหลออกทางช่องคลอด แต่จะมีเลือดประจำเดือนบางส่วน เกิดการไหลย้อนกลับเข้าไปสู่โพรงมดลูกและท่อนำไข่ และเข้าไปตกในช่องท้อง ซึ่งในเลือดประจำเดือนเหล่านี้มีเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูก ที่สามารถไปเกาะและฝังตัวบริเวณที่ต่าง ๆ ในช่องท้องได้ ที่พบบ่อยก็คือ บริเวณรังไข่ทั้งสองข้าง ซ้ายและขวา เอ็นยึดมดลูกทางด้านหลัง เนื่องจากเซลล์เหล่านี้เป็นเซลล์ที่มีชีวิต และโตขึ้นได้ด้วยอิทธิพลของฮอร์โมนที่มากระตุ้นในแต่ละรอบเดือนทำให้เซลล์เหล่านี้โตขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเลักษณะเป็นถุงน้ำในแต่ละเดือนก็จะมีเลือดออกในตัวก้อนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ถุงน้ำขนาดใหญ่ขึ้นและเปล่งขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นที่มาของอาการปวด โดยเฉพาะช่วงที่มีรอบเดือนซึ่งเป็นช่วงที่มีระดับฮอร์โมนสูง จึงมีอาการปวดประจำเดือนมากกว่าปกติ และจะปวดมากที่สุดถ้ามีการแตกหรือการรั่วของถุงช็อกโกแลตซีสต์ ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคนี้คืออะไรและปัจจัยอะไรที่ช่วยป้องกันหรือทำให้เกิดน้อยลงได้บ้าง ? ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคนี้มากขึ้น ได้แก่ ปัจจัยทางพันธุกรรม เช่น การมีแม่ พี่สาว น้องสาวเป็นโรคนี้ หรือกลุ่มที่เกิดจากการทำงานของรังไข่มาก เช่น กลุ่มที่มีประจำเดือนตั้งแต่อายุยังน้อย มีรอบเดือนสั้น (ระยะห่างของแต่ละรอบน้อยกว่า 21 วัน) ทำให้มีจำนวนรอบของประจำเดือนต่อปีมากกว่าคนปกติ โอกาสการไหลย้อนของประจำเดือนก็มากขึ้นด้วย หรือมีปัจจัยขัดขวางการไหลของประจำเดือน เช่น มีการปิดของเยื่อพรหมจรรย์ (Imperforate hymen) เลือดประจำเดือนไหลออกทางช่องคลอดไม่ได้ เลือดจึงไหลกลับเข้าช่องท้องมากขึ้น ส่วนปัจจัยที่ทำให้เกิดน้อยลง ก็คือต้องตั้งครรภ์ เพราะในช่วงการตั้งครรภ์จะไม่มีประจำเดือนเกิดขึ้น ประมาณ 9-10 เดือน จนถึงช่วงหลังคลอด โดยเฉพาะถ้าให้นมบุตรด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ประจำเดือนมาช้าออกไปอีก ส่วนใหญ่ผู้ที่เป็นโรคนี้และตั้งครรภ์ได้ อาการของโรคจะดีขึ้น เนื่องจากโอกาสเกิดประจำเดือนไหลย้อนก็จะน้อยลง นอกจากนี้ในกลุ่มที่ยังไม่มีความต้องการมีบุตร การรับประทานยาคุมกำเนิด ที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ ๆ เพื่อควบคุมระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายไม่ให้มีปริมาณสูงเกินไป ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่หนาจนเกินไป การมีประจำเดือนปริมาณก็จะไม่มาก ก็ทำให้อัตราการเกิดโรคนี้น้อยลง โรคนี้แสดงอาการอย่างไร ? อาการสำคัญที่พบได้บ่อย ๆ คือ 1. ปวดท้องเวลามีประจำเดือน โดยมีลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนปวดประจำเดือนทั่ว ๆ ไป โดยจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นในทุก ๆ เดือน (Progressive dysmenorrhea) เช่น เคยปวดและหายโดยไม่ต้องทานยาจนต้องทานยา หรือเคยใช้ยากินแต่กลับต้องเปลี่ยนเป็นยาฉีดแก้ปวด 2. ปวด หรือเจ็บลึก ๆ ที่ช่องคลอดหรือท้องน้อยเวลามีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากพังพืดจากโรคยึดมดลูกไว้ ทำให้มดลูกไม่สามารถเคลื่อนไปมาได้อิสระ โดยเฉพาะพังพืดบริเวณเอ็นยึดมดลูก (Utero-sacral ligament) ทำให้เกิดอาการปวดเวลามีแรงกระแทกที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ 3. ภาวะมีบุตรยาก เนื่องจากโรคนี้มักพบถุงน้ำบริเวณรังไข่ ทำให้ประสิทธิภาพในการตกไข่เสียไป หรือเกิดพังผืดบริเวณท่อนำไข่ทั้งสองข้าง ทำให้ไข่ไม่สามารถ เกิดการปฏิสนธิ หรือเดินทางมาฝังตัวที่มดลูกได้ เราจะทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรค ? การตรวจวินิจฉัยที่บอกผลได้แน่นอนคือ การได้ชิ้นเนื้อของถุงช็อกโกแลตซีสต์ มาตรวจทางพยาธิวิทยา ซึ่งจะได้ชิ้นเนื้อกรณีที่มีการผ่าตัด แต่ในบางกรณีที่ไม่ได้ทำการผ่าตัด ก็สามารถวินิจฉัยได้จากอาการแสดงดังที่กล่าวมาแล้ว ร่วมกับการตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจภายใน อาจพบก้อนถุงน้ำบริเวณปีกมดลูกข้างซ้ายหรือขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งของรังไข่ การตรวจอัลตราซาวด์ อาจเห็นลักษณะของถุงน้ำรังไข่ นอกจากนี้การตรวจเลือดบางชนิด เช่น CA-125 อาจช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคได้ในผู้ป่วยบางราย บางกรณีอาจพิจารณาทำการตรวจส่องกล้องในช่องท้องเพื่อการวินิจฉัย (Laparoscopic diagnosis) หรือพิจารณาผ่าตัดร่วมไปเลยก็ได้ ทั้งวิธีการผ่าตัดผ่านกล้อง (Laparoscopic surgery) หรือวิธีผ่าตัดเปิดหน้าท้องก็ได้ (Exploratory Laparotomy) ถ้าพบว่าเป็นโรค มีวิธีการรักษาอย่างไร ? 1. การใช้ยา เช่น ยาคุมกำเนิด เพื่อควบคุมฮอร์โมนในร่างกายไม่ให้อยู่ในระดับสูงจนเกิดไป จะทำให้ประจำเดือนมีปริมาณน้อยลง ลดการไหลย้อนของประจำเดือน หรือทำให้ไม่มีประจำเดือนเลย ในกลุ่มของยาฉีดคุมกำเนิด (DMPA) 2. การผ่าตัด มีสองแบบคือ การผ่าตัดแบบประคับประคอง (Conservative treatment) มุ่งหวังเอาถุงน้ำช็อกโกแลตซีสต์ออกเท่านั้น เก็บมดลูกรังไข่ไว้เหมือนปกติ เพื่อให้สามารถมีบุตรได้ในอนาคต แต่วิธีนี้โอกาสสูงที่จะกลับมาเป็นโรคได้อีก และการผ่าตัดแบบสิ้นสุด (Definite treatment) โดยการผ่าตัดเอาพยาธิสภาพและรังไข่ทั้งสองข้างที่ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่เป็นสาเหตุออกด้วยทั้งสองข้าง วิธีนี้จะทำให้ไม่กลับมาเป็นซ้ำ แต่ก็เสี่ยงต่อการขาดฮอร์โมนก่อนวัยอันควร อันอาจจะมีผลต่อความแข็งแรงของกระดูกในอนาคต 3. การรักษาร่วม คือ การรักษาโดยการผ่าตัด ร่วมกับการใช้ยา โดยอาจพิจารณาให้ยาในช่วงก่อนการผ่าตัด เช่น GnRH analog เป็นยายับยั้งการหลั่งฮอร์โมนเอสโตรเจนจากต่อมใต้สมอง คนไข้จึงมีลักษณะเหมือนเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนชั่วคราว ซึ่งใช้ยาควรใช้ในระยะสั้นๆ เพื่อ เตรียมพร้อมสำหรับการผ่าตัด โดยการวิจัยพบว่าสามารถลดขนาดของก้อนช็อกโกแลตซีสต์ลงได้ ทำให้การผ่าตัดทำได้ง่ายขึ้น และเสียเลือดขณะผ่าตัดน้อยลง หรือการใช้ยาในช่วงหลังผ่าตัด เพื่อช่วยควบคุมการกลับเป็นซ้ำของตัวโรค ในกรณีที่คนไข้ยังไม่พร้อมที่จะมีบุตร เช่นยาคุมกำเนิดชนิดรับประทาน หรือยาฉีดคุมกำเนิด แต่ถ้าผู้ป่วยต้องการมีบุตรมักจะแนะนำให้ตั้งครรภ์เลย ในช่วงหลังการผ่าตัด เพราะในช่วง 1-2 ปี หลังการผ่าตัด พบว่าเป็นช่วงเวลาทอง (Golden period) ของการมีบุตร ผู้ป่วยจะมีโอกาสประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์สูงขึ้น เมื่อพบว่าคุณแม่ตั้งครรภ์ เป็นช็อกโกแลตซีสต์ ควรทำอย่างไร ? สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ตรวจพบว่ามีช็อกโกแลตซีสต์ ไม่ต้องกังวลใจ เพราะอาการของช็อกโกแลตซีสต์จะดีขึ้น เนื่องจากตลอดการตั้งครรภ์จะมีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนสูง ซึ่งจะไปต้านการทำงานของฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำห้ช็อกโกแลตซีสต์ฝ่อเล็กลง หรือหายไปในระหว่างตั้งครรภ์ คุณหมอก็จะติดตามอาการ และขนาดของก้อนถุงน้ำจากการตรวจอัลตร้าซาวด์เป็นระยะ ซึ่งส่วนใหญ่มักพบว่าก้อนยุบลงหรือหายไป แต่ถ้าก้อนมีขนาดใหญ่ขึ้นหรือโตเร็ว ก็อาจพิจารณาเรื่องของการผ่าตัดเป็นราย ๆ ไป เพื่อป้องกันการแตกของก้อนซีสต์ จะเห็นว่าโรคช็อกโกแลตซีสต์ เป็นเพียงเนื้องอกถุงน้ำที่ไม่ใช่เนื้อร้าย แต่มีโอกาสกลับเป็นซ้ำได้สูง หากปล่อยให้มีอาการมากๆ โดยไม่ได้รับการรักษา จะเป็นต้นเหตุหนึ่งของภาวะมีบุตรยาก แต่ถ้าได้รับการรักษา หรือสามารถตั้งครรภ์ได้ การตั้งครรภ์จะทำให้อาการของโรคดีขึ้น ขอขอบคุณข้อมูลจาก นพ.นิวัฒน์ อรัญญาเกษมสุข สูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ โรงพยาบาลพญาไท 2 ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต |
||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||
|
ช็อกโกแลตซีสต์กับการตั้งครรภ์ |
|
|